ฟีเจอร์ใหม่ของ Ahrefs ที่แสดงในภาพคือ "Organic Keywords by Intent", ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์คำค้นหาตามเจตนา (Search Intent) ของผู้ใช้งาน โดยแบ่งออกเป็นหมวดหมู่หลัก ๆ ดังนี้:
- Informational (สีน้ำเงิน) - คำค้นหาที่ผู้ใช้ต้องการข้อมูลหรือความรู้เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
- Navigational (สีเขียว) - คำค้นหาที่ผู้ใช้ต้องการไปยังเว็บไซต์หรือแบรนด์เฉพาะเจาะจง
- Commercial (สีเหลือง) - คำค้นหาที่ผู้ใช้กำลังเปรียบเทียบสินค้าหรือบริการก่อนตัดสินใจซื้อ
- Transactional (สีแดง) - คำค้นหาที่ผู้ใช้มีความตั้งใจจะทำการซื้อสินค้าหรือบริการ
- Branded (สีส้ม) - คำค้นหาที่มีชื่อแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์เฉพาะเจาะจง
- Local (สีม่วง) - คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสถานที่หรือธุรกิจในพื้นที่เฉพาะ
สรุปแนวโน้มจากกราฟ:
- Informational Keywords (สีน้ำเงิน) เป็นหมวดที่ได้รับการค้นหามากที่สุด แต่มีแนวโน้มลดลงตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 เป็นต้นมา
- Commercial และ Branded Keywords (สีเหลืองและสีส้ม) มีการเติบโตเล็กน้อยและคงที่ตลอดช่วงเวลาที่แสดงในกราฟ
- Transactional และ Local Keywords (สีแดงและสีม่วง) มีปริมาณที่น้อยมากเมื่อเทียบกับประเภทอื่น ๆ
ประโยชน์ของฟีเจอร์นี้:
- ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจแนวโน้มและพฤติกรรมของผู้ใช้ในแต่ละช่วงเวลา
- วางกลยุทธ์ SEO ได้ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา เช่น การปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับความต้องการเชิงข้อมูลหรือการขาย
- ช่วยวิเคราะห์การแข่งขันในตลาดตามหมวดหมู่ของคำค้นหา
ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับ Search Intent
Search Intent คือ ความต้องการหรือเป้าหมายที่แท้จริงของผู้ใช้งานเมื่อทำการค้นหาบน Search Engine (เช่น Google, Bing) พูดง่ายๆ คือ "ทำไม" คนๆ นั้นถึงค้นหาด้วยคำค้นหานั้นๆ
การเข้าใจ Search Intent นั้นสำคัญมากสำหรับ:
- การทำ SEO: เพราะจะช่วยให้คุณสร้างเนื้อหาที่ตรงกับสิ่งที่ผู้คนกำลังมองหาจริงๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณบนผลการค้นหา
- การตลาดออนไลน์: ช่วยให้คุณออกแบบโฆษณาและแคมเปญต่างๆ ได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
- การพัฒนาเว็บไซต์: ช่วยให้คุณสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน
ประเภทของ Search Intent โดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลัก:
-
Informational Intent (เจตนาเพื่อหาข้อมูล):
- เป้าหมาย: ผู้ค้นหาต้องการเรียนรู้ ค้นหาคำตอบ หรือหาข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง
- ตัวอย่าง Keyword: "วิธีทำเค้กช็อกโกแลต", "อาการของโรคโควิด-19", "ประวัติศาสตร์ไทย", "ความหมายของคำว่า SEO"
- เนื้อหาที่เหมาะสม: บทความ, คู่มือ, คำอธิบาย, วิดีโอสอน, อินโฟกราฟิก
-
Navigational Intent (เจตนาเพื่อนำทาง):
- เป้าหมาย: ผู้ค้นหาต้องการไปยังเว็บไซต์หรือหน้าเว็บเพจที่เฉพาะเจาะจง
- ตัวอย่าง Keyword: "facebook login", "youtube", "gmail", "lazada", "shopee"
- เนื้อหาที่เหมาะสม: หน้าเว็บไซต์หลัก, หน้า Login, หน้าติดต่อ
-
Transactional Intent (เจตนาเพื่อทำธุรกรรม):
- เป้าหมาย: ผู้ค้นหาต้องการซื้อสินค้า สมัครบริการ ดาวน์โหลด หรือดำเนินการบางอย่าง
- ตัวอย่าง Keyword: "ซื้อ iPhone 14", "จองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่น", "สมัคร Netflix", "ดาวน์โหลดเกมฟรี"
- เนื้อหาที่เหมาะสม: หน้ารายละเอียดสินค้า, หน้าชำระเงิน, แบบฟอร์มสมัคร, ปุ่มดาวน์โหลด
-
Commercial Investigation (เจตนาเพื่อการสืบค้นเชิงพาณิชย์):
- เป้าหมาย: ผู้ค้นหาอยู่ในขั้นตอนการตัดสินใจซื้อ แต่ยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเปรียบเทียบสินค้า บริการ หรือแบรนด์ต่างๆ
- ตัวอย่าง Keyword: "รีวิว iPhone 14", "เปรียบเทียบ Samsung กับ iPhone", "โน๊ตบุ๊คยี่ห้อไหนดี", "ประกันรถยนต์ที่ดีที่สุด"
- เนื้อหาที่เหมาะสม: บทความรีวิว, การเปรียบเทียบสินค้า, บทความแนะนำ, วิดีโอรีวิว
นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งประเภท Search Intent ย่อยๆ อีก เช่น:
- Local Intent: การค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ เช่น "ร้านอาหารใกล้ฉัน", "ปั๊มน้ำมัน", "คลินิกทำฟัน"
- Branded Intent: การค้นหาที่มีชื่อแบรนด์อยู่ในนั้น เช่น "รองเท้า Nike", "กาแฟ Starbucks"
เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ Search Intent:
- Google Search Console: แสดง Keyword ที่ผู้คนใช้ค้นหาและนำมาสู่เว็บไซต์ของคุณ
- Ahrefs, Semrush, Moz: เครื่องมือ SEO ที่มีฟีเจอร์วิเคราะห์ Keyword รวมถึง Search Intent (ดังภาพที่คุณให้มาก่อนหน้านี้)
- Google Trends: แสดงแนวโน้มความนิยมของ Keyword ต่างๆ
ฟีเจอร์นี้เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับนักการตลาดดิจิทัลและเจ้าของเว็บไซต์ที่ต้องการปรับปรุงแผน SEO ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามเจตนาของผู้ค้นหา.